รูหนอนอวกาศ แนวคิดในการสร้าง “เวิร์มโฮล” หรือทางลัดข้ามจักรวาล ซึ่งเกิดจากการบิดเบือนของกาลอวกาศตามทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ แม้ว่าจะยังไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์ในปัจจุบัน แต่บรรดานักฟิสิกส์กำลังพยายามคำนวณในเชิงทฤษฎีเพื่อค้นหาวิธีการที่เป็นไปได้
เมื่อไม่นานมานี้ ทีมนักฟิสิกส์จากสถาบันเพื่อการศึกษาระดับสูง (IAS) และมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในสหรัฐฯ ได้เสนอแนวคิดการสร้างเวิร์มโฮลใหม่ในรายงานที่เผยแพร่บนเว็บไซต์เก็บถาวรวิชาการออนไลน์ arXiv.org วิธีการนี้สามารถสร้างเวิร์มโฮลที่มีขนาดใหญ่พอให้มนุษย์และยานพาหนะผ่านได้ และยังเป็นเวิร์มโฮลที่เสถียร ไม่ยุบตัวอย่างรวดเร็ว และก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้เดินทางในอวกาศอีกด้วย
ศาสตราจารย์ Juan Maldacena หัวหน้างานวิจัยกล่าวว่า แม้ทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปและทฤษฎีพื้นฐานของฟิสิกส์อนุภาคจะยืนยันการมีอยู่ของเวิร์มโฮลในธรรมชาติ แต่แนวคิดดั้งเดิมเหล่านี้บ่งชี้ว่าเวิร์มโฮลที่เราสามารถผ่านเข้าไปและเดินทางข้ามจักรวาลได้นั้นไม่มีอยู่จริง เนื่องจากเวิร์มโฮลนั้นต้องการมวลเชิงลบซึ่งยังไม่พบในธรรมชาติเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเวิร์มโฮล
- นักฟิสิกส์เผยวิธีสร้าง “เวิร์มโฮล” ที่ไม่ยุบตัวในพริบตา
- นักฟิสิกส์เผยวิธีค้นหา “เวิร์มโฮลข้ามจักรวาล” ในธรรมชาติ
- นักฟิสิกส์ชี้ให้เห็นว่า “เวิร์มโฮล” ไม่ใช่ทางลัดสำหรับการเดินทางข้ามจักรวาล
อย่างไรก็ตาม หลักการของทฤษฎีควอนตัมมองเรื่องนี้แตกต่างออกไป มวลเชิงลบสามารถมีอยู่ได้ในโลกเล็กๆ ของอนุภาคควอนตัมโดยยืมพลังงานจากสุญญากาศในจุดใดจุดหนึ่ง เช่นที่พบในปรากฏการณ์คาซิเมียร์ ซึ่งสนามควอนตัมสามารถผลิตพลังงานเชิงลบที่มีผลให้มีมวลเชิงลบได้ อย่างไรก็ตาม เวิร์มโฮลที่สร้างขึ้นภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้จะช่วยลดระยะทางให้สั้นลงมากและจะเล็กกว่าเส้นผมด้วยซ้ำ
จำลองจากทฤษฎี รูหนอนอวกาศ
ศาสตราจารย์มัลดาเซนาและทีมงานได้เสนอแนวทางแก้ปัญหานี้โดยนำแนวคิดนอกกรอบมาตรฐานมาใช้ โดยเฉพาะทฤษฎีเรขาคณิตบิดเบี้ยว 5 มิติ ซึ่งแบ่งเวลา-อวกาศของจักรวาลออกเป็น 5 ส่วนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว เราอาจพบมวลติดลบที่ไม่เคยมีมาก่อน
การคำนวณของทีมงานระบุว่าเวิร์มโฮลที่สร้างขึ้นตามแนวคิดนี้จะมีลักษณะคล้ายกับหลุมดำขนาดกลางที่มีประจุไฟฟ้า ซึ่งจะมีขนาดใหญ่พอที่มนุษย์และยานอวกาศจะผ่านได้ แต่นักบินอวกาศจะต้องสามารถบังคับยานอวกาศให้ผ่านแรงไทดัลภายในได้รูหนอนอวกาศ
เวิร์มโฮลนี้จะสามารถนำมนุษย์ไปยังจุดหมายปลายทางที่ไกลถึง 10,000 ปีแสงใน 1 วินาที แต่เป็นเพียงมุมมองของนักเดินทางเท่านั้น ผู้คนบนโลกที่สังเกตพวกเขาขณะเดินทางจะเห็นว่าการเดินทางครั้งนี้อาจใช้เวลานานถึง 10,000 ปีของมนุษย์
ทฤษฎีรูหนอน บนจักรวาลMARVELS
กลับมาอีกครั้งกับหนังฟอร์มยักษ์จาก MARVEL STUDIO’S กับ #THE MARVELS คราวนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับมัลติเวิร์ส การเดินทางข้ามเวลาผ่านมิติต่างๆ ด้วย #เวิร์มโฮล ซึ่งเป็นตัวเชื่อมหลักของเรื่อง! สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ‘ทฤษฎีเวิร์มโฮล’ หรือประตูมิติที่เราเคยได้ยินกันมานาน.. เมื่อก่อนเราคงคิดว่ามีอยู่แค่ในหนัง Sci-fi fantasy เท่านั้น! แต่ในปัจจุบัน มันอาจจะไม่ใช่แค่แฟนตาซีอีกต่อไป? เพราะทฤษฎีเวิร์มโฮลเพิ่งได้รับการทดสอบและจำลองสำเร็จเมื่อไม่นานนี้!! ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ทศวรรษ ทฤษฎีนี้ก็ยังคงเป็นหนึ่งในความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ใครหลายๆ คนใฝ่ฝันและรอคอยให้เกิดขึ้นจริง มาดูกันว่ามีรายละเอียดอะไรที่ซ่อนอยู่บ้าง ทฤษฎีเวิร์มโฮลคืออะไร และมันมีอยู่จริงบนโลกของเราหรือไม่?
เวิร์มโฮล คือแนวคิดทางทฤษฎีในฟิสิกส์ที่แสดงถึงทางลัดหรืออุโมงค์ผ่านกาลอวกาศ เชื่อมโยงจุดแยกกันสองจุดในจักรวาลหรือจักรวาลที่แตกต่างกันเป็นวิธีการเดินทางเร็วกว่าแสงหรือเป็นประตูสู่อีกมิติหนึ่ง เป็นสะพานเชื่อมระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทาง เรียกว่า สะพานไอน์สไตน์-โรเซน พูดง่ายๆ ก็คือ เวิร์มโฮลเปรียบเสมือน “ทางลัดของกาลอวกาศ” จากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่งในเวลาอันสั้นรูหนอนอวกาศ
กาลอวกาศเป็นแนวคิดพื้นฐานในฟิสิกส์ที่ผสมผสานมิติเชิงพื้นที่สามมิติ (ความยาว ความกว้าง และความสูง) กับมิติที่สี่ของเวลาเข้าไว้ในกรอบเดียว แนวคิดนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ เวลาไม่ได้เป็นอิสระจากตัวมันเอง แต่เวลาถูกผสานเข้ากับอวกาศ ทั้งสองถูกรวมเข้าเป็น “กาลอวกาศ”